น้ำมันปลาช่วยอะไร?

ปิดความเห็น บน น้ำมันปลาช่วยอะไร?
น้ำมันปลาช่วยอะไร?

น้ำมันปลาช่วยอะไร? กินอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด

น้ำมันปลาช่วยอะไร? อันดับแรกเราต้องมาทำความรู้จักกับน้ำมันปลาก่อนว่า น้ำมันปลาคืออะไร กินอย่างไรสามารถรับประทานได้ตอนไหนถึงให้ประโยชน์ได้สูงสุด โดยน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลานั้นเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีชื่อคล้ายกันแต่จริงๆแล้วทั้งสองอย่างนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยน้ำมันปลานั้นได้จากสารสกัดจากส่วนต่างๆของปลาทะเล ไม่ว่าจะเป็น หนังปลาหรือหางปลาแต่ในขณะที่น้ำมันตับปลานั้นส่วนใหญ่จะได้จากสารสกัดจากตับของปลาทะเลโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าการกินน้ำมันปลาและกินน้ำมันตับปลานั้นมีความแตกต่างกันเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นในบทความนี้ก็จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับความแตกต่างของน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลาด้วยเช่นเดียวกัน 

ความแตกต่างระหว่าง  น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา

น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นสารสกัดที่ได้จากส่วนหนัง เนื้อ หัว และหัวของปลาทะเลน้ำลึกแต่ น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) จะเป็นสารสกัดที่ได้จากส่วนตับของปลาทะเลโดยเฉพาะซึ่งมีความเหมือนและความแตกต่างกันของทั้งคู่ดังนี้ 

ความเหมือน : ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลาก็จะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างเช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 (OmegaEicosapentaenoic Acid (EPA) ซึ่งจะช่วยในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน นอกจากนี้ยังมี Docosahexaenoic Acid (DHA) ซึ่งจะมีความสำคัญต่อระบบการทำงานของสมองและช่วยเสริมเรื่องระบบการเรียนรู้ได้ดีมากยิ่งขึ้น 

ความแตกต่าง : ภายในส่วนผสมของน้ำมันตับปลานั้นจะมีปริมาณของวิตามินเอและวิตามินบีสูงกว่าน้ำมันปลา เพราะฉะนั้นจึงมีคำเตือนเกี่ยวกับปริมาณในการใช้ เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดได้นั่นเอง ส่วนน้ำมันปลาในขณะที่น้ำมันปลามีความปลอดภัยมากกว่าเมื่อบริโภคไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน

ประโยชน์ของน้ำมันปลามีอะไรบ้าง กินน้ำมันปลาช่วยอะไร

น้ำมันปลาช่วยอะไร?

น้ำมันปลานั้นถือว่ามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอย่าง DHA และ EPA ในปริมาณที่สูงซึ่งจะเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายประการ เพราะฉะนั้นการกินน้ำมันปลาเสริมจากอาหารมื้อหลักจึงช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุดในหลายๆ ด้าน ซึ่งสามารถจำแนกประโยชน์ของน้ำมันตับปลาที่มีผลดีต่อส่วนต่างๆของร่างกายได้ดังนี้ 

  • การทำงานของระบบสมอง แน่นอนว่ากรดไขมัน DHA ที่มีอยู่ในน้ำมันตับปลานั้นเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันพื้นฐานที่สามารถพบได้ในเซลล์สมองมากถึง 40% จากงานวิจัยพบว่าระดับกรดไขมัน DHA ที่ลดลงจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ และจากการศึกษาพบว่าความสมดุลของกรดไขมันนั้นมีผลต่อภาวะซึมเศร้าซึ่งถ้าหากผู้ที่มีระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 ต่ำกว่าปกติและมีโอเมก้า 6 สูงก็อาจจะนำไปสู่ภาวะเกิดโรคซึมเศร้าได้รุนแรงมากกว่า รวมไปถึงมีงานวิจัยกล่าวว่าการกินน้ำมันปลามีส่วนช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้นในผู้ที่มีภาวะการถดถอยทางสมองทั้งนี้อาจจะสามารถช่วยได้มากเมื่อเริ่มกินในช่วงแรกที่การทำงานของสมองลดลง 
  • สุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ โรคหัวใจนั้นเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ โดยในผลการวิจัยพบว่าการกินน้ำมันปลาอยู่เป็นประจำจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยน้ำมันปลานั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลดโอกาสในการเกิดภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งสามารถลดไตรกลีเซอไรด์ได้ประมาณ 15-30% กันเลยทีเดียว อีกทั้งยังเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี และอาจลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีได้อีกด้วยเช่นเดียวกัน และยังสามารถลดความดันในเลือดในผู้ที่มีความดันสูงช่วยในการไหลเวียนของเลือดจึงลดโอกาสในการเกิดโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถลดโอกาสในการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันได้อีกด้วยเช่นเดียวกัน 
  • สุขภาพของดวงตา แน่นอนว่ากรดไขมัน DHA นั้นนอกจากจะพบได้มากในสมองแล้วยังสามารถพบได้มากในจอประสาทตาอีกด้วยเช่นเดียวกันซึ่งเรียกได้ว่ามีมากถึง 60% กันเลยทีเดียวของกรดไขมันในระบบสายตา ซึ่งในปัจจุบันมีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอนั้นมีความเสี่ยงต่อโรคทางสายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รูปจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ซึ่งแน่นอนว่าการกินน้ำมันปลาในปริมาณสูงเป็นเวลา 19 สัปดาห์สามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยมีการมองเห็นได้ดีมากยิ่งขึ้น 
  • ลดภาวะการอักเสบ ในน้ำมันปลาสามารถต้านการอักเสบได้ซึ่งการอักเสบเรื้อรังมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่นๆไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า รวมไปถึงโรคหัวใจอีกทั้งยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ข้อฝืด ข้อเสื่อม และโรคอักเสบอื่นๆได้อีกด้วยจากงานวิจัยหลายงานพบว่า DHA เป็นกรดไขมันที่มีความสัมพันธ์ที่สามารถต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นตัวช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกทั้งยังอาจลดการอักเสบของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นหลังการออกกำลังกายได้อีกด้วย 
  • สุขภาพผิวหนัง แน่นอนว่าผิวหนังของคนเรานั้นมีโอเมก้า 3 อยู่เป็นจำนวนมากแต่สุขภาพของผิวก็จะค่อยๆเสื่อมถอยลงเนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น และน้ำมันตับปลาเองก็ประกอบไปด้วย DHA และ EPA ซึ่งจะเป็นกรดไขมันจำเป็นที่คุณสมบัติในการต้านการอักเสบน้ำมันปลาจึงช่วยลดการอักเสบของผิวหนังและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังได้นั่นเอง และยังมีผลวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่กินน้ำมันตับปลาเป็นเวลา 60 วันมีความชุ่มชื่นของผิวหนังเพิ่มขึ้นถึง 30% กันเลยทีเดียว และยังมีงานวิจัยพบว่าการกินน้ำมันตับปลาที่มีกรดไขมันตั้งแต่ 1-14 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ก็จะช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงินซึ่งเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังดีขึ้นและช่วยลดการแห้งแตกของผิวหนังนั่นเอง 

ข้อควรรู้ในการกินน้ำมันปลา ควรกินน้ำมันปลาวันแรกเท่าไหร่ กินน้ำมันปลาตอนไหนดี

น้ำมันปลาช่วยอะไร?

แน่นอนว่าการกินน้ำมันปลาเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้อย่างเพียงพอควรคำนึงถึงปริมาณที่ต้องกินต่อวันด้วย ช่วงเวลาที่กวนกิน เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นและสิ่งที่ไม่ควรกินร่วมกันเพราะอาจเกิดอันตรายได้ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 

  • กินน้ำมันปลาวันละเท่าไหร่ : ถึงแม้ว่าในปัจจุบันไม่มีการระบุการรับประทาน DHA และ EPA ที่ร่างกายควรได้รับต่อวันไว้อย่างชัดเจนแต่องค์กรด้านสุขภาพส่วนใหญ่ให้คำแนะนำว่า วัยผู้ใหญ่ควรรับประทานวันละประมาณ 250 ถึง 500 mg ต่อวัน โดยส่วนกรดไขมัน แอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic Acid) สำหรับผู้ชายควรได้รับต่อวันอยู่ที่ 1.6 กรัมต่อวัน แล้วผู้หญิงควรได้รับอยู่ที่ 1.1 กรัมต่อวัน เพราะฉะนั้นการบริโภคน้ำมันปลาควรไม่เกิน 3 กรัมต่อวันหากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการตกเลือดหรืออาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ตามมาได้นั่นเอง ทั้งนี้การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลากับมื้ออาหารสามารถช่วยลดความเสี่ยงอาการเหล่านี้ได้ 
  • กินน้ำมันปลาตอนไหนดี : สารสกัดน้ำมันปลาหรือ Fish Oil นั้นควรกินพร้อมอาหารหรือหลังมื้ออาหารเพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดอาการข้างเคียงไม่ว่าจะเป็น ท้องเสีย คลื่นไส้ หรือมีกลิ่นปาก ที่สำคัญควรกินอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ที่สำคัญยังสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนโดยช่วงที่แนะนำให้กินคือพร้อมมื้ออาหารจะดีที่สุด 

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : แนะนำอาหารเสริมบำรุงสมอง

Credit by : https://healthyandexercise.com/